วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2554

รู้จักภาษีอากรก่อนการลงทุน


ความหมายของภาษีอากร
           ภาษีอากร คือ สิ่งที่รัฐบาลบังคับจัดเก็บจากราษฎรและนำไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนรวม โดยมิได้มีสิ่งตอบแทนโดยตรงแก่ผู้เสียภาษีอากร             
           - ภาษีอากร คือ เงินได้หรือทรัพยากรที่เคลื่อนย้ายจากภาคเอกชนไปสู่ภาครัฐบาล  และไม่สามารถเรียกคืนได้               
           - ค่าธรรมเนียม คือ เงินที่ราชการเรียกเก็บจากประชาชนซึ่งได้ประโยชน์จากรัฐเฉพาะอย่าง เช่น  ใบทะเบียนสมรส ค่าธรรมเนียมค่าปรับศาล           
           - ค่าธรรมเนียมต่างจากภาษี
   ลักษณะของภาษีอากรที่ดี               
   1.  มีความเป็นธรรม               
   2.  มีความแน่นอน ชัดเจน               
   3.  มีความสะดวก               
    4.  มีประสิทธิภาพและประหยัด               
    5.  มีความเป็นกลางทางเศรษฐกิจ               
    6.  อำนวยรายได้               
    7.  มีความยืดหยุ่น
   นโยบายภาษีอากร               
    1.  ส่งเสริมความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ               
   2.  กระจายรายได้ให้เป็นธรรม               
   3.  รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ               
   4.  จัดสรรทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพ               
   5.  จัดให้มีการใช้งานเต็มกำลัง               
   6.  นโยบายอื่น ๆ
การแบ่งลักษณะภาษี               
   1. ภาษีทางตรง เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล     
   2. ภาษีทางอ้อม ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิต 
    ภาษีศุลกากรภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (Personal Income Tax )
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นภาษีทางตรงจัดเก็บจากฐานเงินได้
จัดเก็บจากบุคคลธรรมดา และผู้ที่กฎหมายกำหนด
ฐานภาษี จัดเก็บจากเงินได้สุทธิ (ฐานในการคำนวณภาษี)                               
เงินได้พึงประเมิน (แต่ไม่รวมเงินได้ที่ได้รับการยกเว้น)                               
หัก ค่าใช้จ่ายหัก ค่าลดหย่อนและบริจาค                               
เงินได้สุทธิ แล้วจึงคำนวณภาษีตามอัตราก้าวหน้า
ระยะเวลาของเงินได้ที่คำนวณ คือ ปีภาษี (ปีปฏิทิน 1 ม.ค. – 31 ธ.ค.)ชำระภาษีโดยประเมินตนเองภายในวันที่ 31มีนาคมของปีถัดไปภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นภาษีอากรประเภทหนึ่งที่บัญญัติไว้ ในประมวลรัษฎากร จัดเก็บจากเงินได้ของบริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลมีหลักการจัดเก็บที่สำคัญๆ โดยลำดับดังนี้
- ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล   
- นิติบุคคลที่ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้  
 - ฐานภาษีของภาษีเงินได้นิติบุคคล   
- ภาษีเงินได้นิติบุคคลคำนวณจากกำไรสุทธิ            
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้จากกำไรสุทธิ
- รอบระยะเวลาบัญชี             
- กำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล             
 - เงื่อนไขการคำนวณกำไรสุทธิตามมาตรา 65 ทวิ            
  - เงื่อนไขการคำนวณกำไรสุทธิตามมาตรา 65 ตรี (รายจ่ายต้องห้าม)            
- อัตราภาษีและการคำนวณภาษี            
- การยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษี                
ภาษีเงินได้นิติบุคคลคำนวณจากยอดรายได้ก่อนหักรายจ่าย
- ภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับเงินได้ที่จ่ายจากหรือในประเทศไทย
 - ภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับการจำหน่ายกำไรไปนอกประเทศ 
 - สถานที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษี
- บัญชีอัตราภาษี  
ภาษีมูลค่าเพิ่ม       ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม               
  - ผู้ประกอบการที่ไม่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม             
    - ผู้ประกอบการที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมายแต่สามารถขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้  
วิธีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
- กำหนดเวลาการจดทะเบียน                
- สถานที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม               
  - ใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม                
 - หน้าที่ของผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม               
  - การเปลี่ยนแปลงการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม                
 - กิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมาย               
  - การยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม                
  - กำหนดเวลา สถานที่ยื่นแบบและการชำระภาษี                
    ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม   ผู้ประกอบการที่ขายสินค้าหรือให้บริการในทางธุรกิจหรือวิชาชีพเป็นปกติธุระ ไม่ว่าจะประกอบกิจการในรูปของบุคคลธรรมดา คณะบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล หรือนิติบุคคลใด ๆ หากมีรายรับจากการขายสินค้าหรือให้บริการเกินกว่า 1.2 ล้านบาทต่อปี มีหน้าที่ต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน โดยคำนวณภาษีที่ต้องเสียจากภาษีขายหักด้วยภาษีซื้อ
   ภาษีสรรพสามิต    คือ ภาษีการขายเฉพาะที่เรียกเก็บจากสินค้าและบริการบางประเภท ซึ่งมีเหตุผลสมควรที่จะต้องรับภาระภาษีสูงกว่าปกติ เช่น สินค้าที่บริโภคแล้วอาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพและศีลธรรมอันดี สินค้าและบริการที่มีลักษณะเป็นการฟุ่มเฟือย หรือสินค้าที่ได้รับผลประโยชน์เป็นพิเศษจากรัฐ หรือสินค้าที่ก่อให้เกิดภาระต่อรัฐบาลในการที่จะต้องสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เพื่อให้บริการผู้บริโภค หรือเป็นสินค้าที่ก่อให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมกรมสรรพสามิต    มีหน้าที่หลักในการจัดเก็บภาษีจากสินค้าและบริการเฉพาะอย่างจากผู้ผลิตสินค้าหลายประเภท     เรียกว่า ภาษีสรรพสามิต เพื่อเป็นรายได้ให้รัฐบาลนำไปบริหารประเทศ และทะนุบำรุงท้องถิ่นต่าง ๆ โดยอาศัยอำนาจตามกฎหมาย
    ภาษีศุลกากรบทบาทของภาษีศุลกากรเพื่อใช้เป็นวัตถุประสงค์ในการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศจึงลดน้อยถอยลงตามลำดับ  การเก็บภาษีของรัฐจุดมุ่งหมายของรัฐโดยทั่วไปก็คือการหารายได้เข้ารัฐ  แต่จุดมุ่งหมายรองๆลงมาก็ขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้าและบริการที่รัฐบาลจัดเก็บภาษีการเก็บภาษีศุลกากร  นอกจากจะเป็นเหตุผลในการหารายได้แล้ว  ความมุ่งหมายหลักก็คือ เพื่อการคุ้มกันการค้าของประเทศเพราะสินค้านำเข้าเมื่อต้องเสียภาษีศุลกากรก็จะมีราคาแพงกว่าสินค้าชนิดเดียวกันที่ผลิตในประเทศอย่างไรก็ตามนโยบายในการกีดกันทางการค้าด้วยภาษีนี้เป็นเรื่องที่ต้องนำมาพิจารณาอย่างละเอียดว่ามีข้อดีและข้อเสียอย่างไร             
   การจัดเก็บภาษี
1. รัฐบาลกลางจัดเก็บ  เช่นภาษีสรรพากร  ภาษีศุลกากร  ภาษีสรรพสามิต
2. ราชการส่วนท้องถิ่นจัดเก็บ  เช่นภาษีป้าย ภาษีโรงเรือน  ภาษีบำรุงท้องที่ 
    การชำระภาษี               
1.  การหักภาษี ณ ที่จ่าย               
2.  การประเมินภาษีด้วยตนเอง               
3.  การประเมินภาษีด้วยพนักงาน               
 4.  ถูกเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ    
    ฐานภาษีของภาษีเงินได้นิติบุคคล
         ภาษีเงินได้นิติบุคคล คำนวณจากเงินได้ที่ใช้เป็นหลักฐานในการคำนวณภาษีคูณด้วยอัตราภาษีที่กำหนด ดังนั้น เงินได้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลหรือฐานภาษีเงินได้นิติบุคคลนั้น โดยทั่วไปได้แก่กำไรสุทธิที่คำนวณตาม เงื่อนไขที่กำหนด แต่เพื่อความเป็นธรรมและอุดช่องว่างในการจัดเก็บภาษีเงินได้ จึงได้มี การบัญญัติจัดเก็บภาษีเงินได้ นิติบุคคล จากเงินได้หรือฐานภาษี ที่แตกต่างกัน ดังนี้
                (1)   กำไรสุทธิ
                (2)   ยอดรายได้ก่อนหักรายจ่าย
                (3)   เงินได้ที่จ่ายจากหรือในประเทศไทย
                (4)   การจำหน่ายเงินกำไรออกไปจากประเทศไทย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น