ต้นทุนของสินทรัพย์ประกอบด้วย
1.
ราคาซื้อ(ตามใบ Invoices)
2.
ภาษีขาย(Sale TAX)
3.
ค่าขนย้ายกับค่าประกัน
4.
ค่าติดตั้ง
ประเด็นโต้แย้งของหลักการในการรับรู้ต้นทุนของสิทรัพย์ระยะยาว
1.
ต้นทุนบางอย่างที่เกิดจากการได้มาซึ่งสินทรัพย์นั้นควรนำมารวมเป็นต้นทุนของสินทรัพย์ด้วยหรือไม่
เช่น ต้นทุนดอกเบี้ยของงานระหว่างก่อสร้าง
2.
ค่าใช้จ่าย R&Dและต้นทุนในการพัฒนา
Software ควรนำมาCapเป็นสินทรัพย์หรือไม่
3.
ควรใช้วิธการบัญชีเกี่ยวกับการกำหนดมูลค่าของต้นทุนของการได้มาซึ่งน้ำมันและแก๊สเป็นสินทัพนย์อย่างไร
*ในการเลือกนโยบายการับรู้ต้นทุนที่เกี่ยวกับสินทรัพย์ว่าจะ Cap หรือว่าจะรับรู้เป็นค่าใช้จ่ายในงวดที่เกิดทันทีนั้น
ย่อมส่งผลกระทบต่อตัวเลขใน B/S P/L และ CF ซึ่งทำให้ส่งผลต่อการวิเคราะห์ Ratio ในระยะยาว
ผลกระทบของการCap หรือการรับรู้เป็น
Expenseที่มีต่อตัวเลขในงยการเงิน
เมื่อเปรียบเทียบบริษัท 2
บริษัทโดยบริษัทหรึ่งเลือกรับรู้ต้นทุนเป็นสินทรัพย์โดย Cap เป็นสินทรัพย์
กับ บริษัทที่รับรู้เป็นค่าใช้จจ่าย พบว่า
-
บริษัทที่เลือก Cap จะมี
NI ที่ Smooth กว่า แต่กินการที่ถือเป็นค่าใช้จ่ายเลย
NI จะมีค่าความผันผวนมากกว่า (Cap ความผันผวนของกำไร
< ความผันผวนของกำไรที่ถือเป็นค่าใช้จ่าย)
-
ROA
ของบริษัทที่เลือก Cap ต้นทุน
จะมีความสม่ำเสมอมากกว่าบริษัทที่เลือกรับรู้เป็นค่าใช้จ่ายเพราะว่าบรัทเลือกรับรู้เป็นค่าใช้จ่ายจะทำให้
NI มีความผันผวนจึงมี ROA ที่มันผันผวน(CapความผันผวนของROA <
ความผันผวนของROAที่ถือเป็นค่าใช้จ่าย)
-
CFO
ของบริษัทที่เลือก Cap ต้นทุนจะสูงกว่าบริษัทที่เลือกรับรู้เป็นค่าใช้จ่ายเพราะ
เมื่อบริษัทเลือกที่จะCap เป็นสินทรัพย์ถาวรจะส่งผลให้
ต้นทุนนั้นถูกแสดงเป็น CFI แต่ถ้าเลือกรับรู้เป็นค่าใช้จ่ายต้นทุนนั้นจะเป็นส่วนหนึ่งของ
CFO (Exp : à Low NI à Low CFO) จึงทำให้บริษัทที่เลือก Cap
เป็นสินทรัพย์มี CFO สูงเกินไป (CFOCAP
< CFOEXP)
**บริษัทที่มีการเลือกนโยบายในการรับรู้ต้นทุนบางอย่างของสินทรัพย์แตกต่างย่อมมีผลทำให้ตัวเลขของ
Ratio ต่างกัน
เช่นบริษัทสองบริษัทมีต้นทุนของสินทรัพย์ที่สามารถเลือกรับรู้ได้ซึงพบว่าบริษัท A
เลือกที่จะ Cap เป้นสินทรัพย์แต่ยริษัท B เลือกรับรู้เป็นค่าใช้จ่าย จึงส่งผลดังนี้
NI: A ผันผวน< B
ROA: A สม่ำเสมอกว่า B
CFO: A> B
Asset: A>B
D/E: A<B
บริษัทที่รับรู้เป็นค่าใช้จ่าย
ð
มีสินทรัพย์ที่ต่ำกว่า บริษัทที่เลือก Cap
ðEquity ที่ต่ำกว่า บริษัทที่Cap
ðD/E Ratio ต่ำกว่าบริษัทที่ Cap
ต้นทุนของดอกเบี้ยการกู้ยืมที่นำมา
Cap ได้
ตาม SFAS34 ต้นทุนของดอกเบี้ยการกู้ยืมที่นำมา Capได้จะต้องเป็นดอกเยี้บของสินทรัพย์ที่อยู่ในระหว่างก่อสร้างสาเหตุที่กำหนดเช่นนั้น
มีการโต้แย้งSFAS34 โดยให้เหตุผลว่าต้นทุนดอกเบี้ยจากการกู้ยืมนั้นไม่ควรนำมารวมเป็นส่วนหนึ่งของสินทรัพย์
เพราะว่า ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมนั้นเป็นผลมาจาก Financial Decision (การตัดสินใจด้านโครงสร้างทางการเงิน)ไม่ได้เกิดจาก Operating
Decision เพราะฉะนั้นดอกเบี้ยจ่ายก็ควรจะต้องถือเป็น Financial
Cost จึงไม่ควรนำมารวมเป้นสินทรัพย์
ซึ่งถ้าบริษัทนำมารวมเป็นสินทรัพย์
ตาม SFAS34 ได้ระบุไว้นั้นก็จะกลายเป็นว่า สินทรัพย์ของบริษัทจะมากหรือนั้นนั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจ
ทางโครงสร้างการเงินของผู้บริหาร ว่าต้องการให้มีสินทรัพย์สูงหรือต่ำ
ต้องสินทรัพย์สูงà กู้เยอะ
ต้องสินทรัพย์ต่ำà กู้น้อย
อาจารย์ White จึงสนับสนุนว่ากิจการควรรับรู้ดอกเบี้ยเป็นค่าใช้จ่ายดีกว่า
Cap เป็นสินทรัพย์ (ไม่เห็นด้วยกับSFAS34) ดังนั้นในการวิเคราะห์งบการเงินนักวิเคราะห์ควรจะสนใจดอกเบี้ยการกู้ยืมซึ่งต้องมีการ
Adjust
1.
งบนั้นได้มีการนำดอกเบี้ยไปCap ไว้เป็นต้นทุนของสินทรัพย์
ก็ต้องลดสินทรัพย์ด้วยจำนวนที่ไปCapเป็นสินทรัพย์ไว้แล้วนำไปบวกเพิ่มในดอกเบี้ยจ่ายที่แสดงใน
P/L เพราะฉะนั้นใน P/Lจะมี NIลดลงด้วยจำนวนดอกเบี้ยที่นำไปCapไว้
(ในการลดสินทรัพย์ถาวรด้วยจำนวนดอกเบี้ยที่Capไว้นั้น
ก็จะมีผลต่อDepreciation ซึ่งมีผลน้อยมากและไม่มีนัยสำคัญ
จึวไม่จำเป็นต้องไปเปลี่ยนแปลง Depreciation)
2.
ในการที่บริษัทเลือกCapดอกเบี้ยเป็นสินทรัพย์นั้น
จะทำให้เกิดการจัดประเภทรายการที่บิดเบือนไปจากความเป็นจริงได้
เพราะว่าถ้ากิจการเลือกที่จะ Cap ดอกเบี้ย นั้นต้องรวมอยู่ใน
CFI แต่ในความเป็นจริงแล้วดอกเบี้ยนั้นเกิดจากการกู้ยืมเพื่อใช้ในการดำเนินงาน
มันจึงไม่ต้องจัดอยู่ใน CFI แต่มันควรจัดอยู่ใน CFF หรือ CFO ก็ได้(ตามที่มาตรฐานไทยได้กำหนดไว้)
ในการจะคำนวน TIE or Interest
Coverage Ratio ซึ่ง = NI/INT INT ที่นำมาใช้ต้องเป็นตัวหลัง
Adjust ดอกเบี้ยที่ได้ Cap ไว้แล้วส่วน
NI ก็ควรจะให้ตัวหลัง Adjust เช่นกัน
ตามมาตรฐานการบัญชีของไทย
ฉบับที่ 33(IAS23)
นิยามสินทรัพยที่เข้าเงื่อนไข
คือ สินทรัพยที่ต้องใช้ระบรเวลานานในการเตรียมพร้อมเพื่อนำมาใช้หรือนำไปขาย
ต้นทุนการกูยืม คือ
ดอกเบี้ยและต้นทุนอื่นที่เกิดจากการกู้ยืม
แนวทางที่ถือปฏิบัติ คือ
ต้องบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายทันที(เหมือนอาจารย์ White)
แนวทางที่อาจเลือกปฏิบัติ คือ
ต้นทุนการกูยืมของสินทรัพย์ที่เข้าเงื่อนไขอาจ Cap เป็น ราคาทุนของสินทรัพย์ได้
(ถ้าเป็นไปตามหลักการรับรู้รายการ 2 ข้อ)
กรณที่Capเป็นสินทรัพย์จะต้องหยุดรวมเมื่อ
1.
หยุดพัฒนาสินทรัพย์เป็นแวลาต่อเนื่อง
2.
ดำเนินการให้สินทรัพย์พร้อมใช้หรือพร้อมขายโดยส่วนใหญ่ได้เสร็จแล้ว
3.
เมื่อสร้างสินทรัพย์บางส่วนเสร็จแล้วได้ใช้บางส่วนแล้วต้องหยุดรวมในส่วนที่สร้างเสร็จ
สิ่งที่กิจการต้องเปิดเผยถ้าเลือกที่จะ
Capเป็นสินทรัพย์
1.
นโยบายการบัญชีที่ใช้
2.
จำนวนชองต้นทุนในงวดนั้นที่ได้Capเป็นสินทรัพย์
3.
อัตราการตั้งขึ้นเป็นทุน(ดอกเบี้ยถัวเฉลี่ย)ที่ใช้ในการคำนวน
Intangible
Asset (สินทรัพย์ไม่มีตัวตน)
ประเด็นที่เป็นปัญหารของสินทรัพย์ไม่มีตัวตนก็คือการจัดกการได้ยาก
เช่น
1.
ในการจะแยกค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการพัฒนา
เพื่อนำมา Cap
นั้น ยังไม่สามารถแยกออกมาเป็นจำนวนได้ชัดเจน
2.
ค่าใช้จ่ายในการโฆษณาถ้าเลือกที่จะรับรู้เป็นค่าใช้จ่ายนั้นจะรับรู้กี่ปี
ซึ่งไม่สามารถวัดได้ชัดเจนว่ามันสามารถให้ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจได้กี่ปี
3.
Brand
Name ต่างถ้าจะรับรู้และจะรับรู้ซักกี่ปี
ตามมาตรฐานไทยฉบับที่
51
(IAS38) สินทรัพย์ไม่มีตัวตน
ได้ระบุการรับรู้ ค่าวิจัยและพัฒนา
ว่า
ค่าวิจัย
รับรู้เป็นค่าใช้จ่ายทันทีในงวดที่เกิดขึ้น
ค่าพัฒนา สามารถ Cap เป็นสินทรัพย์ไม่มีตัวตนได้ถ้าเข้าเงื่อนไขทุกข้อต่อไปนี้
1.
มีความเป็นไปได้ทางเทคนิคว่าสามารถพัฒนาสินทรัพย์นั้นมาใช้ประโยชน์หรือนำมาขาย
2.
มีความตั้งใจที่จะทำให้เสร็จเพื่อนำมาใช้ประโยชน์หรือขาย
3.
มีความสามารถในการใช้ประโยชน์หรือนำมาขาย
4.
สามารถแสดงให้เห็นวิธีที่จะนำสินทรัพย์ที่พัฒนาไปก่อประโยชน์ได้
5.
กิจการที่มีทรัพยากรต่างๆเพียงพอที่จะพัฒนาสินทรัพย์นั้นจนเสร็จและนำไปใช้ประโยชน์หรือนำไปขายได้
6.
สามารถวัดมูลค่าของรายจ่ายทั้งหมดที่ใช้ในการพัฒนาได้อย่างน่าเชื่อถือ
กรณีเป็นไปตามเงื่อนไข
หรือสามารถรับรู้เป็นสินทรัพย์ไม่มีตัวตนได้แล้วก็ไม่สามารถถือสินทรัพย์นั้นไว้ตลอดได้
กิจการต้องทยอยรับรู้เป้นค่าใช้จ่ายในแต่ละงวดบัญชี
โดยตามมาตรฐานไทยได้ระบุว่าในการตัดจำหน่ายสิทรัพย์เป็นค่าใช้จ่ายนั้นถ้าไม่สามารถกำหนดรูปแบบของการใช้ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจได้อย่างเชื่อถือืกิจการต้องใช้การตัดจำหน่ายตามวิธีเส้นตรงไม่เกิน
20 ปี
**ตาม SFAS5 ได้กำหนดให้บันทึกค่า R&D เป้นค่าใช้จ่ายทันที
**วิธีการบัญชีของ R&D
คือ
-
รับรู้เป็นค่ใช้จ่ายทันทีในงวดที่เกิด(Write-Off)
-
ทยอยรับรู้เป้นค่าใช้จ่ายตลอดอายุเชิงเศรษฐกิจ
เหตุผลของการตีราคาสินทรัพย์ถาวรใหม่
ก็เพื่อให้แสดงมูลค Market
Value ซึ่งมันสามารถให้มัลค่าที่มีประโยชน์กว่าการแสดงด้วย Historical
Cost
ภายใต้ U.S.GAAP
ไม่อนุญาติให้ทำการ Revaluation (การตีราคาสินทรัพย์ใหม่)
มาตรฐานไทย
ฉบับที่ 32
(IAS16) ที่ดินอาคารอุปกรณ์
แนวทางที่กำหนดให้ปฏับัติ คือ
แสดงสินทรัพย์ถาวรด้วยราคาทุน หัก ค่าเสื่อราคาสะสมและค่าเผื่อการด้วยค่าสินทรัพย์
แนวทางที่อาจเลือกปฏิบัติ คือ
อาจแสดงด้วยราคาที่ตีใหม่ ซึ่งก็คือ มูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ ณ
วันที่ตีราคาใหม่ หักด้วย ค่าเสื่อมราคาสะสมที่คำนวนจากมูลค่ายุติธรรมและหักด้วยค่าเผื่อการด้อยค่าของสินทรัพย์
กรณีที่กิจการมีการตีราคาสินทรัพย์เพิ่มขึ้น
จะเกิดส่วนเกินการตีราคาสินทรัพย์อยู่ในEquity ในงบดุล
กรณีที่กิจการมีการตีราคาสินทรัพย์ลดลง
เกิดขาดทุนจากการตีราคารับรู้เป็นค่าใช้จ่ายในงบกำไรขาดทุน
**อาจารย์ White จึงแนะนำว่าก่อนจพทำการวิเคราะห์งบการเงินก็ควรมีการ
Adjust รายการบางรายการก่อน
ตัวอย่างที่อาจารย์
ไวท์ ยกให้เห็น
ในอตสาหกรรมยารักษาโรคจะพบว่า ใน USA อุตสาหกรรมที่ผลิตยาจะมี ROA ที่สูงที่สุด เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น ซึ่งมันเกิดจากการมีกำไรเยอะ
และมีสินทรัพย์ต่ำจึงอาจเป็นไปได้ว่าในอุตสาหกรรมผลิตยานั้นจะมีค่า R&D
เยอะมาก ซึ่ง GAAP US.ไม่ยอมให้ Cap
R&D บางส่วนเป็นสินทรัพย์เลยต้องรับรู้เป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมด
จึ่งส่งผลให้ Low Asset ð High ROA
ซึงผลดีอีกข้อหนึ่งที่ของการรับรู้เป้นค่าใช้จ่ายก็คือ
จำทำให้ค่าใช้จ่ายสูงกำไรต่ำภาษีต่ำ
Note: Mandatory = บังคับ
** กรณีที่บริษัทเลื่อที่จะถือเป็นค่าใช้จ่ายออย่างเดียวโดยไม่
Cap เลยนั้นมันอาจทำให้ความสามารถในการกู้ยืมของบริษัทลดลงได้เพราะ
NI ต่ำ
** ได้มีหลักฐานงานวิจัย
พบว่า
การที่บริษัทสดงให้เห็นว่ามีการพยายามลงทุนลดลงหรือมีการลดลงของการจะขยายการลงทุนเพิ่ม
คือ เป็นการส่งสัญญานดีต่อนักลงทุน
การขายหรือการตัดจำหน่ายสินทรัพย์
มักจะเกิดรายกร กำไร/ขาดทุน
จากการจำหน่ายสินทรัพย์ ซึ่งรายการนี้ถือว่าเป็นNonrecurring Item ซึ่งในการวิเคราะห์งบ
ควรจะ Adjust รายการนั้นออกก่อน
ในการสังเกตุเพื่อประโยชน์ในการวิเคาระห์
ถ้าพบว่ากิจการได้มีการขายสินทรัพย์ที่เป็นส่วนสำคัญของการผลิตหรือดำเนินงานมันอาจบอกให้เราทราบอ้อมๆว่ากำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้
สำคัญ
เช่น เปลี่ยนผลิตภัณฑ์ หรืออาจปิดกิจการ
ในบางครั้งรายการ กำไร /ขาดทุน
จากการขายสินทรัพย์ถาวร ก็มีผลต่อการวิเคราะห์ของนักลงทุนได้ เช่น
-
ในกรณีที่มีกำไรจากการขายสินทรัพย์ นักวิเคราะห์อาจมองย้อนไปถึงวิธีการคิด
ค่าเสื่อมราคาได้ว่า กิจการได้เบื่อกใช้วิธีคิดค่าเสื่อมราคา แบบ Conservative คือ จะรับรู้ค่าใช้จ่ายต่อปีมากๆไว้ก่อน จึงทำให้ตัดค่าเสื่อม
ในแต่ละปีค่อนข้างสูง เวลาจะขายจึงทำให้สินทรัพย์ ณ วันที่ขายมีราคาที่ต่ำกว่า
จึงมีกำไรจากการขายสินทรัพย์
-
ในกรณีที่มี ขาดทุนจากการขายสินทรัพย์
นักวิเคราะห์ก็อาจมองว่า
เป็นไปได้มั้ยที่กิจการเลือกใช้วิธีการคิดค่าเสื่อมที่ทำให้มีค่าเสื่อมราคาในแต่ละปี
ต่ำๆเพื่อให้กำไรสูง ดังนั้น เวลาขายสินทรัพย์สุทธิ จึงแสดงมูลค่าที่สูงเกินไป(Over Value)จึงทำให้ขาดทุนจากการขายสินทรัพย์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น