นักบัญชีคิดว่าการตัดค่าเสื่อมราคาเป็นการปันส่วนอย่างมีระบบ
ไม่ใช่เพื่อการสะท้อนมูลค่าคงเหลือของสินทรัพย์
ความแตกต่างระหว่างค่าเสื่อมราคาทางบัญชีกับทางเศรษฐศาสตร์
·
นักบัญชี ยึดหลักmatchingโดยเชื่อว่าถ้ากิจการมีรายได้ที่สม่ำเสมอ
ก็ควรมีการปันส่วนค่าเสื่อมราคาที่สม่ำเสมอเช่นเดียวกัน
·
นักเศรษฐศาสตร์ มองถึงอัตราผลตอบแทนที่ได้รับจากสินทรัพย์นั้น
Ex. โทรศัพท์ 1 เครื่อง
มีอายุการใช้งาน 5 ปี พอถึงปีที่ 3 ในทางบัญชีจะยังมีมูลค่า
แต่ในทางเศรษฐกิจอาจไม่มีมูลค่าแล้ว
วิธีการคิดค่าเสื่อมราคา
1. วิธีเพิ่มขึ้นทุกปี ( Annuity, Sinking Fund ) เช่น รายได้เท่ากันทุกปี
ปีละ 100 การคิดค่าเสื่อมเพิ่มขึ้นทุกปี
ทำให้กำไรลดลงทุกปี ดังนั้น
rate of return จะเท่ากันทุกปี
2. วิธีเส้นตรง ( Straight – Line ) มาจากการมองว่าถ้ารายได้ที่เกิดจากการใช้ประโยชน์ของสินทรัพย์นั้นเท่ากันทุกปี
ก็ควร
คิดค่าเสื่อมเท่ากันทุกปี
ทำให้ cash flow เท่ากันทุกปี แต่ rate of return จะสูงขึ้น
3. วิธีอัตราเร่ง ( SYD, DB ,DDB ) จะคิดค่าเสื่อมสูงในปีแรก ๆ
เนื่องจากมีการใช้ประโยชน์ในสินทรัพย์มากกว่าปีหลัง ๆ
นอกจากจากนี้ยังมองว่าควรคิดค่าเสื่อมปีแรกๆสูงกว่าปีหลังๆเพราะปีหลังๆจะมีค่าบำรุงรักษาเพิ่มมากกว่าปีแรกๆ
อีกด้วย
4.
คิดตามหน่วยการผลิต ( Units - of - Production) เพราะมีสินทรัพย์บางอย่างที่ไม่เสื่อมตามระยะเวลา แต่เสื่อมแบบ
Variable cost
การกำหนดให้สินทรัพย์มีอายุนานเกินไปจะทำให้ค่าเสื่อมราคาต่ำเกินไป
ดังนั้นการเลือกอายุการใช้งานสั้นและค่าซากต่ำ เป็นการใช้นโยบายการบัญชีแบบ conservative ซึ่งตรงกับลักษณะการคิดค่าเสื่อมแบบวิธีอัตราเร่ง(
ตามสภาพการใชงานจริงที่สุด)
การคำนวณ
การหาอายุการใช้งานว่าใช้ไปแล้วกี่ % = ค่าเสื่อมราคาสะสม/ ราคาทุนของสินทรัพย์นั้น
การหาว่าอายุการใช้งานทั้งหมดนานเท่าไหร่ = ราคาทุนของสินทรัพย์นั้น/ ค่าเสื่อมราคาต่อปี
การคำนวณหาว่าใช้งานมาแล้วกี่ปี = ค่าเสื่อมราคาสะสม/ ค่าเสื่อมราคาต่อปี
การด้อยค่า
สถานการณ์ที่บ่งชี้ว่าด้อยค่า
·
ราคาตลาดลดลงอย่างมีสาระสำคัญ
·
มีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่ผิดปกติอย่างมาก
·
มีกำลังการผลิตมากแต่ขายของไม่ได้
ผลจากการรับรู้ด้อยค่า
·
มูลค่าสินทรัพย์ลดลง
·
ส่วนของผู้ถือหุ้นลดลง
·
Asset turnover สูงขึ้น เพราะ Asset ลดลง
·
D/E สูงขึ้น เพราะ Equity ลดลง
·
BV per share ลดลง เพราะ Equity ลดลง
·
Price to book value สูงขึ้น เพราะ book ต่ำลง
·
Earning สูงขึ้น เพราะค่าเสื่อมลดลง
·
ROA สูงขึ้น เพราะ Asset ลดลง
·
ROE สูงขึ้น เพราะ Equity ลดลง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น